รายงานวิจัย
สังคมศาสตร์ ธุรกิจ และกฎหมาย
ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund)
2569
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการ โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีเครือข่ายในเขตพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนชายแดน ไทย-ลาว จังหวัดอุตรดิตถ์
Strategy for Driving the Policy on Protecting the Rights and Welfare of the Elderly with Disabilities through the Participation of Local Administrative Organization and Partner Network in the Thai-Lao Border Community Economic Area, Uttaradit Province
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย (Aged Society) มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบันมีสัดส่วนประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 13 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และคาดการณ์ว่าในปีพ.ศ.2576 จะขยับเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Super Aged Society) หรือมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 30 (สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, 2567) เนื่องจากการเอาใจใส่ด้านการดูแลสุขภาพและวิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยจึงทำให้คนมีอายุยืนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความจริงที่ว่าคนยิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและความพิการหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพิ่มมากขึ้น (ปัทมา ล้อพงค์พานิชย์, 2560) จากรายงานสถานการณ์คนพิการ ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 พบว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีความพิการร่วมด้วยจำนวน 1,265,746 คน คิดเป็นร้อยละ 57.42 ของคนพิการทั่วประเทศ โดยพบว่ามีความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายมากที่สุด จำนวน 736,693 รองลงมาคือ ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และความพิการทางการเห็น ตามลำดับ (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2566) การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้กำลังแรงงานและผลิตผลลดลง รวมถึงปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และการใช้งบประมาณจำนวนมากในการจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุ (ชัยพัฒน์ พุฒซ้อน และกันตพัฒน์ พรศิริวัชรสิน, 2561) ดังนั้น องค์ประกอบสำคัญที่จะสามารถสร้างเสริมให้สถานการณ์ของผู้สูงอายุปรับเปลี่ยนจากวิกฤตมาเป็นโอกาสที่ดีนั้นอยู่ที่การจัดวางนโยบายที่ภาครัฐจะต้องเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและภาคประชาชนในสังคมต้องให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและทั่วถึง (อาชัญญา รัตนอุบล, 2562) เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีศักยภาพ และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
หากพิจารณาถึงแนวนโยบายที่ภาครัฐได้ดำเนินการมาแล้วนั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ที่ใช้เป็นแผนหลักในการดำเนินการเพื่อรองรับสถานการณ์การเป็นสังคมผู้สูงอายุ และได้มีการออกกฎหมายเพื่อรับรองและคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุคือ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 เพื่อดำเนินงานเกี่ยวกับการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้สูงอายุ อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่ผู้สูงอายุทุกคนจะต้องได้รับการดูแลและผลักดันให้สามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐาน เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม จากรายงานผลการวิเคราะห์ปัญหาการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุตามกฎหมายดังกล่าว พบว่า การคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ส่งผลต่อปัญหาที่เกิดขึ้นหลายประการ ได้แก่ ปัญหาการดูแลระยะยาว เนื่องจากพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มิได้แยกผู้สูงอายุที่ปกติกับผู้สูงอายุที่พิการซึ่งมีความจำเป็นในการดำรงชีพแตกต่างกัน และปัญหาการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุตามมาตรา 11 มิได้คุ้มครองสิทธิของครอบครัวของผู้สูงอายุไว้ด้วย ทำให้เกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมและการให้สิทธิสวัสดิการมิได้มีเทคโนโลยีสวัสดิการ ทำให้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ (วรภัทร รัตนาพาณิชย์, 2565) นอกจากนี้ยังพบว่า การปฏิบัติงานเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุของหน่วยงานภาครัฐยังมีความซ้ำซ้อนกันในการทำงาน เน้นด้านสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นเงินซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุเป็นภาระ และขาดการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะการนำสวัสดิการและบริการต่าง ๆ มาสู่ผู้สูงอายุนั้น จำเป็นต้องมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีบทบาทในการดำเนินการ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนมีความใกล้ชิดกับผู้สูงอายุทำให้ทราบสภาพปัญหาของท้องถิ่นและสามารถตอบสนองความต้องการทางสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้อง (ณัฐภัทร พระทอง, 2563) อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประสาน บุญโสภาคย์ และคณะ (2564) ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ 3 ประการคือ ควรปฏิรูประบบคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุไทยที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินงานด้านสวัสดิการและคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุจากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐไปเป็นอำนาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรออกกฎหมายประกันการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว และควรกำหนดให้การดูแลผู้สูงอายุเป็นบริการที่มีชุมชนเป็นฐาน
อุตรดิตถ์ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุมากเป็นอันดับ 9 ของประเทศไทย และอันดับที่ 5 ของภาคเหนือ เป็นจังหวัดที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จากรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุในจังหวัดอุตรดิตถ์ ณ เดือนตุลาคม 2566 พบว่า มีจำนวนประชากรที่เป็นผู้สูงอายุที่มีความพิการสูงถึงจำนวน 15,327 คน คิดเป็นร้อยละ 66.31ของจำนวนประชากรในจังหวัด โดยมีความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายมากที่สุด รองลงมาคือความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และทางการมองเห็น ตามลำดับ (สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์, 2566) ดังนั้น จากสัดส่วนของผู้สูงอายุที่มีความพิการในจังหวัดอุตรดิตถ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ลักษณะการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจระหว่างประชากรวัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มีประชากรวัยเด็กที่ต้องพึ่งพิงประชากรวัยแรงงานมากกว่าผู้สูงอายุ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงประชากรวัยแรงงานมากกว่าเด็ก ในขณะที่การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุยังมีน้อย แม้ว่าในระดับชุมชนปัจจุบันจะมีความตื่นตัวและเข้ามามีบทบาทในการจัดสวัสดิการและการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นในรูปของชมรมผู้สูงอายุก็ตาม แต่โดยทั่วไปแล้วพบว่ายังมีจุดอ่อนด้านความตระหนักถึงปัญหาและการเตรียมตัวในระยะยาว ปัญหาสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานยังคงกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงในอําเภอที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะพื้นที่ของอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 9 อำเภอของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีสัดส่วนของจำนวนผู้สูงอายุที่มีความพิการสูงถึง 419 คน (สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์, 2566) โดยอำเภอบ้านโคก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชายแดนติดต่อกับแขวงไชยะบุรีของสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศไปมาค้าขายผ่านช่องทางประเพณีได้หลายช่องทางแต่ช่องทางที่สำคัญคือ จุดผ่านแดนถาวรภูดู่ ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรที่มีศักยภาพสูงกว่าด่านอื่นๆ มีปริมาณคนเข้า-ออก และเป็นเส้นทางการค้าและการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ (แผนพัฒนาจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ.2566-2570) มากกว่าด่านอื่นๆ ส่งผลให้ในพื้นที่มีการขยายตัวทั้งในด้านการค้าและการลงทุนมากขึ้น แต่จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อด้านสังคม ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกหลายด้าน ประกอบกับด้วยโครงสร้างทางสังคมของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบทำให้ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิทธิพื้นฐานได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการจังหวัดอุตรดิตถ์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560-2565) และผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประจำปี 2565 ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าปัจจุบันองค์กรคนพิการบางแห่งสามารถจัดบริการได้ด้วยตนเอง เช่น การส่งเสริมอาชีพ การจ้างงาน การให้ความรู้เรื่องสิทธิ แต่ยังไม่เพียงพอ ไม่ทั่วถึง คนพิการบางประเภทรู้ เข้าใจ สิทธิค่อนข้างน้อย อีกทั้งหน่วยงานและระบบที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับการพัฒนาให้สามารถรองรับได้อย่างถ้วนหน้า (สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์, 2565) ดังนั้น จึงควรพัฒนาหรือสร้างมาตรการกลไกในการป้องกันการละเมิดสิทธิผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่ากลไกและมาตรการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ควรมุ่งเน้นการพัฒนายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิผู้สูงอายุในด้านการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและช่วยเหลือผู้สูงอายุ โดยส่งเสริมสนับสนุนท้องถิ่นและชุมชนผ่านหน่วยงานและองค์กรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิของผู้สูงอายุ (เดชา สังขวรรณ และคณะ, 2560) เพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีความพิการสามารถเข้าถึงบริการและสวัสดิการต่างๆ ของรัฐได้อย่างทั่วถึง มีสิทธิได้รับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการในด้านต่าง ๆ ที่พึงควรจะได้รับตามสิทธิของผู้สูงอายุอย่างเพียงพอ อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน
ภายใต้ปรากฏการณ์และการทบทวนองค์ความรู้ดังกล่าว คณะผู้วิจัยเห็นถึงช่องว่างองค์ความรู้จากการศึกษาวิจัยใน 3 ประเด็นคือ 1) ที่ผ่านมายังขาดการวิเคราะห์สถานการณ์การขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการในพื้นที่ชุมชนชายแดน 2) ขาดการวิเคราะห์เงื่อนไขหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการ และ 3) ขาดการศึกษาเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีความพิการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนชายแดน ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีเครือข่ายในเขตพื้นที่ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการที่ครอบคลุมในมิติด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการศึกษา และด้านสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการสำคัญในการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการอย่างจริงจัง เพื่อให้มีการพัฒนาเชิงระบบอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ที่กำหนดบทบัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 43 บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิใน (4) จัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2560 ) และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.2546 ระบบการจัดบริการทางสังคมซึ่งเกี่ยวกับการป้องกัน การแก้ไขปัญหา การพัฒนาและการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสม เป็นธรรม โดยคำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับให้เป็นไปตามมาตรฐาน (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2546)
ด้วยเหตุนี้ คณะผู้วิจัยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนชายแดนไทย-ลาว จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับพัฒนายุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการ โดยอาศัยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเชิงพื้นที่ในระดับต่าง ๆ นอกจากจะก่อให้เกิดการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการอย่างบูรณาการในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมในเชิงรุกเพื่อรองรับสังคมสูงวัยในอนาคต องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญทางวิชาการที่มีประโยชน์ สำหรับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการนำไปวางแผนและกำหนดนโยบายหรือโครงการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการของผู้สูงอายุที่มีความพิการบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ตลอดจนได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับคนพิการและเป้าหมายของการเป็นผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ชุมชนชายแดน อันก่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบาย,การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและสวัสดิการ,ผู้สูงอายุที่มีความพิการ,ชุมชนชายแดน