$endsection URU Research

รายงานวิจัย

สังคมศาสตร์ ธุรกิจ และกฎหมาย
ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund)
2569
การพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนสู่วิสาหกิจเพื่อสังคมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากจังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ และน่าน
Development and Elevation Community Enterprise Entrepreneurs to Social Enterprises in Driving the Local Economy of Uttaradit, Phrae, and Nan Provinces
ประเทศไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะ 20 ปี ได้แก่ แผนด้านวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้มีความสามารถในการแข่งขัน และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนพร้อมสู่อนาคต โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG) ในด้านเกษตรและอาหาร ให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูงมีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศ ตามมิติการพัฒนาภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย: เกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง พัฒนากระบวนการผลิต กระบวนการตลาด และผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์เศรษฐกิจหลักของประเทศ ตลอดจนห่วงโซ่ คุณค่า เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ของประเทศ โดยมีทิศทางการพัฒนาประเทศกับการพัฒนาพื้นที่ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 2 ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนาและต่อยอดการผลิตและบริการ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2561) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก รัฐบาลได้นำโมเดลเศรษฐกิจและแนวทางการพัฒนาที่หลากหลายมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ การทำงาน Area based SDG และแนวคิด BCG Economy โดยเฉพาะการนำหลัก BCG มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรพื้นถิ่น โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การหมุนเวียนทรัพยากร (Circular Economy) และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green Economy) แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environment, Social, governance) ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ทั้งนี้การพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี จากแนวคิดและแนวทางการพัฒนาประเทศและสังคม ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ดังจะเห็นได้จากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2565 นอกจากนี้ เกษม พิพัฒน์เสรีธรรม (2565) ชี้ให้เห็นว่าการทำธุรกิจในปัจจุบันจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักทั้ง 3 ด้านเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ 1) E-Environment ธุรกิจที่ไม่สร้างผลกระทบและรักษาสิ่งแวดล้อม 2) S-Social ธุรกิจที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับชุมชนและสังคม บริหารทรัพยากรบุคคลอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม รวมถึงดูแลความปลอดภัย และอาชีวอนามัย ตั้งแต่พนักงานของบริษัทไปจนถึงลูกค้า ชุมชนและผู้ที่ทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และ 3) G-Governance ธุรกิจที่มีการบริหารงาน กำกับดูแลอย่างซื่อสัตย์โปร่งใส รวมถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ต่อต้านการทุจริต รวมถึงมีวิธีการดำเนินงานที่จัดการความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ตลอดจนดูแลผลประโยชน์ผู้มีส่วนได้เสีย ปัจจัยทั้งสาม ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล มีความเชื่อมโยงและเกื้อหนุนกันพร้อมช่วยสนับสนุนธุรกิจให้เติบโต ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ลงทุนได้มั่นใจว่ามีส่วนร่วมสนับสนุนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดย SDG (Sustainable Development Goals) เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศ ดำเนินการร่วมกันโดยมีปัจจัยที่เชื่อมโยงกันใน 5 มิติ (5P) ได้แก่ 1. การพัฒนา (People) 2. การดูแลสิ่งแวดล้อม (Planet) 3. การสร้างเศรษฐกิจและความมั่งคั่ง (Prosperity) 4. การสร้างสันติภาพและความยุติธรรม (Peace) 5. ความเป็นหุ้นส่วน การพัฒนา (Partnership) ที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็งและยั่งยืน อีกทั้งยังส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของชุมชนท้องถิ่น (Social well-being) โดยการเสริมสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์สู่การเป็นมหาวิทยาลัยพันธกิจสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ สร้างคุณค่าเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ของการเป็นมหาวิทยาลัยกลุ่มสาม มหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่ (Area based University) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น (สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2565) โดยมีโครงสร้างการผลิตความรู้และกำลังคนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่และแก้ไขปัญหาสำคัญของพื้นที่ สู่เป้าหมายการพลิกโฉมการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและชุมชนอื่น เพื่อสร้างชุมชนนวัตกรรมโดยใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยี กระบวนการสร้างการเรียนรู้ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ในการปรับใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้การจัดการปัญหาในชุมชน ทำให้เห็นโอกาสหรือศักยภาพใหม่ในพื้นที่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างรายได้และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่น จากข้อมูลของสำนักงานวิสาหกิจชุมชน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 (2566) พบว่ามีผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ที่จดทะเบียนในภาคเหนือทั้งสิ้น 22,123 แห่ง แบ่งเป็นภาคเหนือตอนบน 10,211 แห่ง และภาคเหนือตอนล่าง 11,912 แห่ง ส่วนใหญ่ประกอบด้วย กิจกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร 42.5% สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย 30.8% หัตถกรรมและงานฝีมือ 13.7% บริการ 8.3% และอื่น ๆ 4.7% โดยภาคเหนือมีรายได้เฉลี่ยต่อกลุ่มต่อปี 2.5 ล้านบาท วิสาหกิจชุมชนเหล่านี้ยังประสบปัญหาหลายประการ เช่น ด้านการขาดแคลนเงินทุน ปัญหาด้านการตลาด การขาดทักษะการจัดการธุรกิจ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ และการเข้าถึงเทคโนโลยี ในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ และน่าน มีวิสาหกิจชุมชน (OTOP) ที่จดทะเบียนรวมกันกว่า 9,000 แห่ง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อกลุ่มต่อปีระหว่าง 2.3-2.6 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของวิสาหกิจชุมชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของพื้นที่ จากงานวิจัยเรื่องการพัฒนาและยกระดับห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนแบบครบวงจรของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน บนฐานเศรษฐกิจใหม่ พบว่า ปัจจัยความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านผู้นำองค์กร 2) ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง 3) ด้านการใช้ความรู้ 4) ด้านการเป็นผู้ประกอบการ 5) ด้านความสามารถทางการตลาด 6) ด้านการเข้าถึงใจลูกค้า 7) ด้านทีมงาน โดยห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์โอทอปแบบครบวงจรของวิสาหกิจในจังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน บนฐานเศรษฐกิจใหม่ ประกอบด้วยการดำเนินงานของผู้ประกอบการ คือ ผู้ประกอบการรายเดี่ยวและรายกลุ่ม มีกระบวนการจัดการด้านการประกอบธุรกิจ โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานรับรอง เพื่อนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานไปสู่ลูกค้าคนสุดท้าย การพัฒนาและยกระดับห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์โอทอปแบบครบวงจรของวิสาหกิจชุมชน ประกอบด้วย 1) การพัฒนาผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน กระบวนการคิดแบบผู้ประกอบการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ และการสร้างช่องทางการตลาดแบบ Omnichannel 2) การยกระดับห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์โอทอปแบบครบวงจร ได้แก่ การยกระดับทักษะการเป็นผู้ประกอบการ การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน การสร้างศูนย์การเรียนรู้ชุมชน และการหาช่องทางการจัดจำหน่าย (ภาศิริ เขตปิยะรัตน์ และคณะ, 2567) สอดคล้องกับ สนิทเดช จินตนา และธีระพงษ์ ภูริปาณิก (2562) พบว่าช่องว่างสำคัญได้แก่ 1) ด้านการเป็นผู้ประกอบการ ผู้บริหารวิสาหกิจชุมชนยังขาดความรู้ทางด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ไม่มีความสามารถในการเขียนโครงการ และแผนธุรกิจ ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญของการเป็นผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ 2) ด้านการตลาด วิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถในการหาตลาด ไม่รู้วิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด และไม่สามารถเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้แก่สินค้าได้ นอกจากนี้ ยังไม่รู้จักการนำเอาเอกลักษณ์ท้องถิ่นเข้ามาใช้เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า 3) ด้านการบริหารจัดการ พบว่าวิสาหกิจชุมชนไม่มีการวางแผนในการทำงาน ไม่มีการทำบัญชีอย่างเป็นระบบและการบริหารจัดการวัตถุดิบยังไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การดำเนินงานขาดประสิทธิภาพและความยั่งยืน 4) ด้านการผลิต สินค้าของวิสาหกิจชุมชนยังไม่มีมาตรฐานในระดับสากล ทำให้ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่กว้างขึ้น และ 5) ด้านบุคลากร ที่มีไม่เพียงพอและขาดความรู้ทางด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญของวิสาหกิจชุมชน การพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนไปสู่วิสาหกิจเพื่อสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะเติมเต็มช่องว่างความรู้ โดยการยกระดับความสามารถด้านการเป็นผู้ประกอบการ การตลาด และการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการดำเนินงานวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ แบ่งตัวชี้วัดเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเป็นผู้ประกอบการ การดำเนินงานวิสาหกิจเพื่อสังคม ด้านความสามารถด้านการตลาด และด้านผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลลัพธ์ด้านสังคมและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากกว่าปัจจัยอื่น ๆ คือ ความสามารถทางการตลาด รองลงมาคือ การเป็นผู้ประกอบการ และการดำเนินงานวิสาหกิจเพื่อสังคม (ศรีไพร สกุลพันธ์ และคณะ, 2567) นอกจากนี้ การพัฒนาไปสู่วิสาหกิจเพื่อสังคมยังมีความสำคัญในการสร้างผลลัพธ์ทางสังคมควบคู่ไปกับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน การสร้างศูนย์การเรียนรู้ชุมชนและเครือข่ายผู้ประกอบการจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระยะยาว ดังนั้น การพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนไปสู่วิสาหกิจเพื่อสังคมจึงเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาการพัฒนาและยกระดับกลไกความร่วมมือของเครือข่ายผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนสู่วิสาหกิจเพื่อสังคม การสร้างรูปแบบของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนที่เหมาะสม การวิเคราะห์องค์ประกอบปัจจัยความสำเร็จและประเมินความพร้อมของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนสู่การเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนและวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการยกระดับวิสาหกิจชุมชนสู่วิสาหกิจเพื่อสังคมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ และน่านอย่างยั่งยืน
ผู้ประกอบการ,วิสาหกิจชุมชน,วิสาหกิจเพื่อสังคม,เศรษฐกิจฐานราก