รายงานวิจัย
สุขภาพและสวัสดิการ
ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund)
2569
นวัตกรรมการพัฒนาตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลืองบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนเชิงพาณิชย์
Value added and Innovative Development of essential oil from "Wan Ma Luang" Extract to relieve body aches and pains Medicinal Herbs for Local Community' Commercial Identity
มาลีรักษ์ อัตต์สินทอง ,อนุรักษ์ ปัญญานุวัฒน์,ธนัญชัย จวบประสพ
สมุนไพรว่านม้าเหลือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Curcuma sp. อยู่ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) ซึ่งได้ผ่านการตรวจลักษณะทางพฤกษศาสตร์อนุกรมวิธานพืช จากสวนพฤษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดเชียงใหม่ สมุนไพรนี้มีประโยชน์ทางยาในส่วนของเหง้า จากการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging activity ซึ่งเป็นการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยทําปฏิกิริยาระหว่างสารสกัดว่านม้าเหลืองกับ DPPH เมื่อทําปฏิกิริยากับสารต้านอนุมูลอิสระ โดยใช้สารสกัดว่านม้าเหลืองที่ความเข้มข้น 0.3 mg/ml พบว่า สารสกัดว่านม้าเหลืองที่ได้จากการสกัดด้วยเมทานอลมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด รองลงมาคือสารสกัดที่ได้จากการสกัดด้วยเอทานอล และการสกัดน้ำร้อนแบบไหลย้อนกลับ (Reflux) ตามลําดับ เมื่อเทียบกับตัวควบคุมสารมาตรฐาน Trolox พบว่าฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดว่านม้าเหลืองทั้งหมดแตกต่างกับตัวควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ นอกจากนี้ในสารสกัดว่านม้าเหลืองมีสารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) ที่ยับยั้งการสร้างเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (ณิชารีย์ ใจคำวัง และคณะ, 2566) สามารถนำมาใช้ต้านการอักเสบได้ โดยเฉพาะการนำสารสกัดมาตั้งตำรับยาสมุนไพรใช้ภายนอกลดอาการปวด การอักเสบของกล้ามเนื้อแบบเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคพบบ่อยในผู้สูงอายุและวัยทำงาน ปี พ.ศ. 2565 จังหวัดอุตรดิตถ์ มีสถิติการป่วยกลุ่มโรคกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงานในระบบ Health Data Center (HDC) มีอัตราป่วยโรคกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงาน 27.47 ต่อแสนประชากร (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์, 2565) เพื่อสะท้อนให้ทราบว่ากลุ่มโรคกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงาน เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพในวัยทำงานซึ่งพบอัตราป่วยที่สูงทุกปี การติดตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก ด้วยโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ ในปี พ.ศ. 2565 พบผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเพิ่มสูงขึ้น ในการรักษากลุ่มอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก จะประกอบไปด้วย แพทย์แผนไทย คือ นวดแผนไทย และสปา แพทย์ทางเลือก คือ ฝังเข็ม และกายภาพบำบัด แพทย์แผนปัจจุบัน คือ ยาสำหรับรับประทาน ยาฉีด และยานวดแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ (แคปซิกาเจล และไพลวนาครีม) ทั้งนี้ ในการรักษาอาการปวดเมื่อยโดยใช้ยานวดคลายกล้ามเนื้อมีเพียง 2 ชนิด ซึ่งมีราคาสูงสำหรับผู้ที่มารับบริการ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริการด้านยาเพิ่มมากขึ้น
สวนป่าสมุนไพรวัดคุ้งตะเภา (สวนพฤกษศาสตร์สมุนไพรวัดคุ้งตะเภา) ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นสวนป่าสมุนไพรในวัดที่มีผลงานดีเด่นระดับประเทศ ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2559 เป็นแหล่งศึกษาพรรณไม้หายากและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน เป็นศูนย์การเรียนรู้และแปรรูปสมุนไพร โดยมีพระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา และพระอาจารย์อู๋ ปัญฺญาวชิโร เป็นผู้บุกเบิกและรวบรวมสมุนไพรหายากจากสถานที่ต่าง ๆ มารวมไว้ในวัด เป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในการจำแนกพืชสมุนไพรไทย เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรแผนโบราณ จากการสำรวจศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรวัดคุ้งตะเภา มีสมุนไพรหลากหลาย มากกว่า 300 ชนิด โดยสมุนไพรที่บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ประกอบไปด้วย พลับพลึง ว่านม้าเหลือง ว่านเอ็นเหลือง ว่านม้าฮ่อเถาวัลย์เปรียง เถาเอ็นอ่อน ฝิ่นต้น เจ็ดช้างสารใหญ่ หญ้าหนวดแมว ว่านไพลดำ รางแดง หางหมาจอก ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน เป็นต้น จากการสำรวจภายในวัดคุ้งตะเภา พบว่าไพล ว่านม้าเหลือง ว่านม้าฮ่อ พบมากที่สุด โดยมีสรรพคุณการบรรเทาอาการปวดอยู่ที่เหง้า เกี่ยวกับตำรับยาที่สามารถใช้ในการรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ ซึ่งทางเจ้าอาวาสวัด ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การนำสมุนไพรชนิดต่างๆ มาทำเป็นยาที่ง่ายต่อการผลิตใช้เองในชุมชน ยาสมุนไพรที่ทำเป็นประจำคือน้ำมันเหลือง ยาหม่อง เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาทำบุญที่วัด
ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ใกล้กับตัวเมืองอุตรดิตถ์ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 5-13 กิโลเมตร มีประชากรรวม 8,735 คน ผู้สูงอายุ จำนวน 1,741 คน คิดเป็น 19.93 % เป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าว พืชผักผลไม้ ร้อยละ 69.28 เลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 9.47 เปิดร้านค้าและกิจการ ร้อยละ 4.62 (เทศบาลตำบลคุ้งตะเภา, 2566) พื้นที่ส่วนใหญ่ของตำบลเป็นที่ราบเหมาะในการทำการเกษตร และมีแหล่งน้ำสำคัญคือลำแม่น้ำน่าน นอกจากนี้ประชาชนนิยมปลูกพืชผักสมุนไพรไว้ตามรั้วบ้าน และในสวนเพื่อเป็นรายได้เสริม และใช้ประกอบอาหารในครัวเรือน สมุนไพรที่นิยมปลูกมากที่สุด คือ ข่า ตะไคร้ รองลงมาคือ ขิง ขมิ้น กระชาย ไพล ว่านม้าเหลือง ว่านม้าฮ่อ ว่านเพชรม้า ใช้พื้นที่ในการปลูกเฉลี่ยครัวเรือนละ 1-2 ไร่ ผลผลิตที่ได้จะขายแบบสด โดยราคาไม่แน่นอนขึ้นกับพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อ ปัญหาที่พบของเกษตรกรในการปลูกพืชสมุนไพร ได้แก่ โรคกอเน่า ทำให้ผลผลิตลดลง แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น (ค่าแรงในการขุด ล้าง การกำจัดวัชพืชสูง ฯลฯ) ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งในชุมชนมีปราชญ์ชาวบ้านนำสมุนไพรมาทำยาสมุนไพรจำหน่ายแต่เป็นส่วนน้อย หากมองภาพรวม ส่วนใหญ่ถือว่ายังไม่มีการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน ในชุมชนมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรทฤษฎีใหม่หัวใจพอเพียง บ้านป่าขนุน ได้นำสมุนไพรมาแปรรูปขายสร้างรายได้ให้กับสมาชิก ได้แก่ ยาหม่อง น้ำมันไพล ยาดม แต่ทำไม่ต่อเนื่อง และไม่มีตลาดรองรับที่แน่นอน
การพัฒนาตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลือง จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ตำรับน้ำมันหอมระเหย มีความคงตัวดีกว่ายาครีม สำหรับใช้เฉพาะที่ผิวหนัง เป็นรูปแบบยาสมุนไพรที่เป็นที่นิยมใช้โดยทั่วไป ในคุณค่าสรรพคุณของสมุนไพรว่านม้าเหลืองประกอบกับศักยภาพและความต้องการของชุมชนในการผลิตสมุนไพรและยกระดับคุณค่าของสมุนไพรซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน และเพิ่มมูลค่าของสมุนไพรในท้องถิ่น คณะผู้วิจัยมีแนวคิดนําสมุนไพรว่านม้าเหลืองในตำบลคุ้งตะเภา มาพัฒนาตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลืองบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ที่ปลูกสมุนไพรเพื่อขายส่งวัตถุดิบสมุนไพรส่งให้กับผู้ประกอบการ ตลอดจนได้องค์ความรู้ในกระบวนการสกัดสารสำคัญสมุนไพรว่านม้าเหลือง องค์ความรู้ในการตั้งตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลือง องค์ความรู้ในผลิตภัณฑ์ตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลือง เผยแพร่ต่อนักวิชาการ นักวิจัย สามารถต่อยอดขยายผลและพัฒนานวัตกรรมใหม่ได้ในวงกว้างต่อไป โดยมีคำถามการวิจัย มี 2 ข้อ ดังนี้ ตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลืองบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนเชิงพาณิชย์ควรเป็นอย่างไร และการถ่ายทอดนวัตกรรมตำรับน้ำมันหอมระเหยจากสารสกัดว่านม้าเหลืองบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนเชิงพาณิชย์ ที่เหมาะสมอย่างไร
น้ำมันหอมระเหย ,ว่านม้าเหลือง ,อัตลักษณ์ชุมชนเชิงพานิชย์