$endsection URU Research

รายงานวิจัย

การศึกษา
ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund)
2569
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษาจีนเชิงรุก ร่วมกับวิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง เพื่อส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดภาษาจีนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา จังหวัดอุตรดิตถ์
Development of the Active Learning model for Chinese language learning combined with the Total Physical Response (TPR) teaching method to promote listening and speaking Chinese skills of elementary school students, Uttaradit.
นายนิติวรรษ เขียวส่ง
การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 เน้นการพัฒนาคนให้มีทักษะที่สำคัญ เพื่อการดำรงอยู่ในสังคมโลกาภิวัตน์ได้ การศึกษาภาษาต่างประเทศจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากในการติดต่อสื่อสาร การศึกษาการแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม และเพื่อการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อให้สามารถนำประเทศไปสู่การแข่งขันด้านเศรษฐกิจ เข้าใจความแตกต่างทางการเมืองและวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นพลเมืองโลกยุคโลกาภิวัตน์ การเรียนภาษาต่างประเทศจะช่วยให้ผู้เรียนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลสามารถสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมั่นใจ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ซึ่งการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญ ประกอบด้วยทักษะ 3R 8C กล่าวคือ 3R ได้แก่ อ่านออก (Reading), เขียนได้ (Writing) และคิดเลขเป็น (Arithmetic) และ 8C ได้แก่ Critical thinking and problem solving คือ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และสามารถแก้ไขปัญหาได้ Creativity and innovation คือ การคิดอย่างสร้างสรรค์และคิดเชิงนวัตกรรม Cross-cultural understanding คือ ความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม Collaboration teamwork and leadership คือ ความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะความเป็นผู้นำ Communication information and media literacy คือ มีทักษะในการสื่อสารและการรู้เท่าทันสื่อ Computing and IT literacy คือ มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และรู้เท่าทันเทคโนโลยี Career and learning skills คือ มีทักษะอาชีพและการเรียนรู้ และ Compassion คือ มีความเมตตากรุณา มีคุณธรรม และมีระเบียบวินัย (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2561) ซึ่งความรู้เหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือหรือกลไกต่าง ๆ เช่น ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม รวมทั้งสารสนเทศ เทคโนโลยีและสื่อต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และยิ่งไปกว่านั้นสาระวิชาหลัก (Core Subjects) ของการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ประการแรก คือ ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก หมายความว่า นอกจากภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่แล้ว ก็ยังมีภาษาต่างประเทศที่สอง คือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นภาษาที่สำคัญของโลก หรือที่เรียกว่า ภาษาสากล (International Language) ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย (ไสว ฟักขาว, 2551) แต่ทว่าสำหรับในศตวรรษที่ 21 นั้น การเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดโลกอีกต่อไป ภาษาจีนเป็นอีกภาษาหนึ่งในภาษาต่างประเทศที่สามารถติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวันกันอย่างแพร่หลายในสังคมปัจจุบัน สาธารณรัฐประชาชนจีนมีบทบาทสูงในการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนและในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกมีแนวโน้มขยายบทบาทในประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง มีผู้ใช้ภาษาจีนเกือบ 2,000 ล้านคนทั่วโลก เป็นลำดับที่สองรองจากภาษาอังกฤษ และเป็นภาษาหนึ่งขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศภาษาหนึ่งที่มีความจำเป็นในการติดต่อสื่อสารและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (เนธาน ซู, 2012) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นดังกล่าว จึงกำหนดยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนขึ้น เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในสังคมเศรษฐกิจ มีความรู้ภาษาจีนสามารถสื่อสารแสวงหาความรู้และใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพได้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551) เนื่องจากกระแสของความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของจีนที่ก้าวไปอย่างรวดเร็วในด้านการเมือง ทั้งกรอบทวิภาคี พหุภาคี และเวทีภูมิภาค เช่น ASEAN-China Annual Consultation, ASEAN+3, ARF, ASEM เป็นต้น ไทยและจีนต่างมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์และขอบข่ายความร่วมมือระหว่างกันให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในลักษณะของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในด้านเศรษฐกิจ ที่สำคัญ จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 (รองจากประเทศสหรัฐอเมริกา) และแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทย ขณะที่ไทยเป็นคู่คา้อับดับ 13 ของจีน ในด้านการท่องเที่ยว จีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งในปี พ.ศ. 2558 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทย รวม 7.9 ล้านคน ขณะเดียวกันจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปเที่ยวจีนก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน (สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง, 2563) ด้วยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างจีนกับไทย ทำให้ภาษาจีนมีความสำคัญต่อคนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมไทย ภาษาจีนถือเป็นภาษาต่างประเทศที่ 2 ที่มีผู้เลือกเรียนมากที่สุด ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา และเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้เรียนและประชาชนมีความสามารถใช้ภาษาจีนในการสื่อสาร (กระทรวงศึกษาธิการ, 2556) การพัฒนาคนไทยให้รู้ภาษาจีนจะช่วยเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถสื่อสารเชื่อมโยงเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกับประเทศต่าง ๆ ได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน การเรียนการสอนภาษาจีนก็ควรจะใช้หลักการเดียวกัน เพื่อให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลสูงสุด ควรให้ผู้เรียนเน้นการสื่อสารที่เริ่มจากการฟังและตามด้วยการพูด และการเรียนไวยากรณ์เป็นเพียงองค์ประกอบเสริมทางภาษา และควรให้การเรียนการสอนเป็นการสอนเพื่อการสื่อสารอย่างแท้จริง กล่าวคือ การเรียนพูดให้ได้ดีควรต้องไปอยู่ในบริบทนั้น ๆ ซึ่งนักเรียนหรือผู้เรียนอาจต้องไปศึกษาภาษาจีนที่ประเทศจีน อย่างน้อยที่สุดประมาณ 1 ปี ถึงจะสามารถใช้งานหรือสื่อสารได้ แต่การเรียนด้วยวิธีนี้ ผู้เรียนต้องมีทุนทรัพย์เพียงพอ จึงจะสามารถไปเรียนได้ เพราะค่าใช้จ่ายในการไปศึกษาต่อยังต่างประเทศค่อนข้าง ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เรียนทุกคนจะมีโอกาสเช่นนี้ ฉะนั้น การเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย จึงควรให้ความสำคัญกับการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาจีนมาใช้งานได้จริง (นำโชค บุตรน้ำเพ็ชร, 2564) จากการสัมภาษณ์ครูผู้สอนภาษาจีนในระดับชั้นประถมศึกษา พบว่า ปัญหาที่พบมากในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาจีน คือ ปัญหาด้านการพูดภาษาจีน ซึ่งผู้วิจัยได้สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนมีการนำคำศัพท์ภาษาจีนมาใช้ในการสื่อสารได้น้อย เมื่อพูดภาษาจีนยังขาดความมั่นใจมีความวิตกกังวลไม่กล้าแสดงออก กลัวพูดผิด กลัวออกเสียงภาษาจีนไม่ถูกต้อง และไม่ชัดเจน พูดผิดหลักไวยากรณ์พฤติกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนขาดความรู้ด้านทักษะการพูดภาษาจีน ทำให้เป็นปัญหาอย่างยิ่งในการสื่อสาร ซึ่งถ้าหากผู้เรียนไม่สามารถพูดสื่อสารได้อย่างถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นไปได้ยากในการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเทคนิควิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR)ซึ่งเป็นการสอนภาษาที่ไม่ได้มุ่งสอนหลักไวยากรณ์แต่เป็นการสอนคำศัพท์ เพื่อนำไปต่อยอดในการสนทนา ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับการเรียนรู้ภาษาแรกเช่นเดียวกับที่พ่อแม่สอนลูก และมุ่งพัฒนาทักษะการฟัง เพื่อความเข้าใจ เพราะการพัฒนาทักษะการฟังอย่างเข้าใจเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการพัฒนาทักษะการพูดของผู้เรียน (Asher, 1982) ผู้วิจัยได้เลือกนำวิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response :TPR) มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ที่กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนและผู้เรียนด้วยกันเอง เน้นการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงและใช้การสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ขึ้นได้ด้วยตนเองและสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก และเป็นผู้วางแผนในการจัดกิจกรรมในชั้นเรียนเท่านั้น (มนตรี ดีโนนโพธิ์, 2564: 109) การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) มีหลักการที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย คำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ เพื่อพัฒนาต่อยอดไปสู่ทักษะการฟังและการพูด ซึ่งทักษะการฟังเป็นทักษะทางการสื่อสารที่อยู่ในประเภทของการรับสาร และยังเป็นทักษะการใช้ภาษาที่ใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน กล่าวได้ว่า ทักษะการฟังนั้นเกิดขึ้นก่อนการพูด การอ่าน และการเขียน เพราะทักษะการฟังเกิดขึ้นตามธรรมชาติตั้งแต่แรกเกิด หลายคนจึงเข้าใจว่าทักษะการฟังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการฝึกฝน เพราะทุกคนมีความสามารถในการฟัง แท้ที่จริงแล้วทักษะการฟังก็เหมือนกับทักษะอื่น ๆ ที่ต้องได้รับการฝึกฝนพัฒนาอยู่เสมอ จึงจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เป็นเพียงแค่การได้ยินเสียงเท่านั้น การสอนภาษาจีนโดยใช้เทคนิค TPR มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สอดคล้องกับงานวิจัยของ ฐิติพร แก้วดก และสมทรง สิทธิ (2565) ที่กล่าวว่า ควรพัฒนาความสามารถด้านการฟัง การพูดภาษาจีน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response) ร่วมกับสื่อประสมกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ช่วยลดความเครียดและความกังวลให้กับผู้เรียนพร้อมทั้งสร้างบรรยากาศสนุกสนานในชั้นเรียนทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนภาษาต่างประเทศเทคนิคการสอนแบบ Total Physical Response หรือTPR เป็นการสอนภาษาโดยใช้การตอบสนองของร่างกายลักษณะกิจกรรมการเรียนรู้จะสอดแทรกประเภทของเทคนิค TPR ที่เลือกใช้ตามความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่เรียน เช่น TPR-Body (การใช้ร่างกาย) TPR-Object (การใช้สิ่งของ) TPR-Picture การใช้รูปภาพ และ TPR-Story เมื่อผู้เรียนสามารถออกเสียงคำศัพท์และปฏิบัติตามคำสั่งได้ถูกต้อง จึงหมายถึงผู้เรียนเข้าใจคำศัพท์นั้น โดย Asher (1982) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง TPR แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนได้แก่ 1) ขั้นนำและเสนอบทเรียนโดยครูทบทวนบทเรียนและนำเข้าสู่บทเรียนโดยการพูดประโยคคำสั่ง พร้อมทั้งแสดงท่าทางประกอบคำสั่ง คำสั่งละ 2-3 ครั้ง นักเรียนฟังและแสดงท่าทางประกอบพร้อมครูและนักเรียนยังไม่ต้องพูด 2) ขั้นปฏิบัติเมื่อครูสังเกตเห็นว่านักเรียนเข้าใจคำสั่งแล้วครูสั่งให้นักเรียนปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ๆ โดยไม่ดูแบบอย่างจากครู อาจให้นักเรียนปฏิบัติไปพร้อมกันทั้งชั้นเรียน ปฏิบัติเป็นกลุ่มหรือทีละคน พร้อมทั้งคอยสังเกตนักเรียนหากปฏิบัติไม่ถูกต้องให้กลับไปทำกิจกรรมขั้นแรกใหม่ 3) ขั้นตรวจสอบการปฏิบัติและให้ข้อมูลป้อนกลับ ครูสังเกตการแสดงออกแบบตอบสนองด้วยท่าทางของนักเรียนและให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) โดยการพูดหรือชมเชยนักเรียน เมื่อนักเรียนปฏิบัติได้ถูกต้องหรือให้คำแนะนำแก้ไข เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ สำหรับขั้นนี้ครูจะต้องใช้เวลาทุกระยะของการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน 4) ขั้นประเมินผลการปฏิบัติโดยครูให้นักเรียนฝึกออกเสียงคำศัพท์ สะกดคำศัพท์ บอกความหมายของคำศัพท์ เล่นเกมแสดงท่าทางประกอบเพลงแสดงบทบาทสมมติ เพื่อให้เด็กมีความเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้เทคนิคการสอนแบบ TPR จะช่วยลดความเครียดของผู้เรียนทำให้เรียนอย่างสนุกสนาน และช่วยกระตุ้นการเรียนรู้เพราะการสอนด้วยเทคนิคTPR เป็นการเรียนรู้แบบธรรมชาติไม่ต้องอาศัยการท่องจำ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษาผลจากการใช้เทคนิคการสอนแบบTPR ของ Yuning Yang (2563) ได้พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีทักษะการฟังและการพูดคําศัพท์ภาษาจีน หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) สูงกว่าก่อนเรียน ทั้งยังมีความสุขและสนุกสนานในการเรียนคำศัพท์ภาษาจีน ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับวิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response :TPR) เพื่อส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดภาษาจีน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ซึ่งจะเป็นแนวทางในการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน อันส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนด้านทักษะการพูดภาษาจีนสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนและการสื่อสารภาษาจีนต่อไป
รูปแบบการเรียนการสอนภาษาจีน, การจัดการเรียนรู้เชิงรุก, วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง, ทักษะการฟัง, ทักษะการพูด