$endsection URU Research

รายงานวิจัย

สุขภาพและสวัสดิการ
ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund)
2569
ผลของการฝึกที่ความเข้มข้นสูงแบบหนักสลับเบาร่วมกับการกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อต้นขา ต่อระดับสมรรถภาพทางกายทางการกีฬาและระดับสารชีวเคมีในเลือด ในนักกีฬาชายประเภททีมระดับมหาวิทยาลัย
The effects of high intensity interval trainging cooperated with repetitive Peripheral Magnetic Stimulation (rPMS) at thigh muscle groups on sport physical performance and blood chemistry level of male collegiate team sport athletes
นายแพทย์กิตติโชค มาลยาภรณ์
การที่จะประสบความสำเร็จหรือเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันกีฬาทุกประเภท ทุกระดับนั้น นักกีฬาต้องได้รับการฝึกฝนทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างเป็นระบบระเบียบและมีวินัยในการฝึกซ้อมเป็นอย่างมาก ประกอบกับการมีเทคนิคและแทคติคที่มีประสิทธิภาพล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของชัยชนะ ดังนั้น ผู้ฝึกสอนกีฬาและนักกีฬาจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการฝึกสมรรถภาพทางกายสำหรับนักกีฬา เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพในการเคลื่อนไหวและทักษะทางการกีฬา ตลอดจนรักษาระดับความสามารถสูงสุดในช่วงที่มีการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ สมรรถภาพทางกายทั่ว ๆ ไป (General fitness) และสมรรถภาพทางกายเฉพาะประเภทกีฬา (Specific fitness) สมรรถภาพทางกายดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญในการแข่งขันกีฬา สมรรถภาพทางกายทั่ว ๆ ไป (General fitness) เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ปฏิบัติทักษะกีฬาและการเคลื่อนไหวในแต่ละชนิดกีฬาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสมรรถภาพทางกายเฉพาะประเภทกีฬา (Specific fitness) เป็นสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับกีฬานั้น ๆ ซึ่งนักกีฬาสามารถแสดงออกถึงความสามารถได้อย่างเหมาะสม สำหรับสมรรถภาพทางกายทั่วไป (General fitness) ได้แก่ ความแข็งแรง ความอ่อนตัว ความอดทนของกล้ามเนื้อ ความอดทนของระบบหายใจและไหลเวียนเลือด และองค์ประกอบของร่างกาย (Krabuanrat, 2014) การฝึกสมรรถภาพทางการกีฬานั้นมีรูปแบบการฝึกที่หลากหลาย ได้แก่ ความแข็งแรง (Strength) พลัง (Power) การฝึกความเร็ว (Speed) ความแคล่วคล่องว่องไว (Agility) ความอดทนต่อระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ (Cardiovascular fitness) และสมรรถภาพในด้านแอนแอโรบิก (Anaerobic capacity) สมรรถนะเหล่านี้ล้วนมีความจำเป็นในการฝึกในนักกีฬา เพราะอาจชี้ขาดผลแพ้หรือชนะในเกมการแข่งขันที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามรูปแบบการฝึกเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะนั้นมีหลากหลายประเภท บางประเภทครอบคลุมเฉพาะสมรรถนะบางด้าน บางประเภทอาจจะครอบคลุมหลายสมรรถนะ ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายในการออกแบบโปรแกรมการฝึกในกีฬาว่า หากมีรูปแบบการฝึกแบบจำนวนชุดการฝึกน้อยที่สามารถครอบคลุมสมรรถนะทางกีฬาในหลาย ๆ ด้านโดยจะเป็นผลดีให้นักกีฬาใช้เวลาที่จำกัดในการเตรียมตัวในการแข่งขันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ยังเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภาวการณ์ฝึกเกิน (Over training) ของการฝึกในหลาย ๆ รูปแบบได้ (Foster, 1998) การฝึกแอโรบิกแบบหนักสลับเบาหรือหนักสลับพักถูกนำมาใช้ในการฝึกการกีฬาประเภทปะทะเพื่อเพิ่มสมรรถนะทางแอโรบิกและแอนแอโรบิก (Bravo et al., 2008, Boutcher et al., 2011) การฝึกแอโรบิกประเภทนี้จะใช้เวลาการฝึกน้อยกว่าการฝึกแอโรบิกแบบทั่ว ๆ ไป โปรแกรมการฝึกแอโรบิกแบบหนักสลับเบาได้รับการพิสูจน์ว่าให้ผลที่ดีกว่าการฝึกแอโรบิกทั่วไป ในด้านความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ (Tjønna et al., 2008) โปรแกรมการฝึกฝนในนักกีฬาส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นเพื่อเสริมสร้างความทนทาน ความสามารถในการทนต่อกรดแลคติก (Mitranun et al., 2014, Trapp et al., 2008) โดยโปรแกรมการฝึกใช้เวลาโดยรวมในช่วงตั้งแต่ 25-40 นาที มีรายงานการฝึกแบบหนักสลับพักที่ความหนักระดับสูงเหนือจุดสูงสุด (Supramaximal high-intensity intermittent) โดยเป็นการฝึกบนจักรยานวัดงาน (Ergometry) ที่ความหนักของโหลด 100% 130% และ 170% ของอัตราการใช้ออกซิเจนสูงสุดจำนวน 8 ชุดการฝึก ชุดการฝึกที่ช่วงความหนักสูงใช้เวลา 20 วินาที และมีช่วงพักระหว่างชุด 10 วินาที โดยใช้เวลารวมประมาณ 10 นาที นาน 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 วัน รวมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ พบว่า สามารถลดไขมันในช่องท้องได้ เพิ่มมวลร่างกายที่ปราศจากไขมัน และพลังงานสูงสุดแบบไม่ใช้ออกซิเจน การฝึกแบบสลับช่วงที่มีความหนักระดับสูง เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมาก ทั้งนี้เนื่องจากการฝึก HIIT สามารถช่วยพัฒนาระบบพลังงานทั้งระบบแอโรบิกและแอนแอโรบิก และใช้ระยะเวลาสั้นกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกแบบแอโรบิคปกติทั่วไป (Foster et al., 2015) สอดคล้องกับการศึกษาของรองรัก สุวรรณรัตน์ (2559) ที่ทำการศึกษาผลของการฝึกแบบสลับช่วงที่ความหนักระดับสูงในสภาวะปริมาณออกซิเจนปกติและสภาวะปริมาณออกซิเจนต่ำที่ความดันบรรยากาศปกติที่มีต่อสมรรถภาพทางแอโรบิกและความทนต่อการเมื่อยล้าในนักกีฬาฟุตบอลเยาวชน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มฝึกแบบสลับช่วงที่ความหนักระดับสูงในสภาวะปริมาณออกซิเจนปกติ และกลุ่มฝึกแบบสลับช่วงที่ความหนักระดับสูงในสภาวะปริมาณออกซิเจนต่ำ ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการฝึกทั้งที่ 4 สัปดาห์และ 8 สัปดาห์ นักฟุตบอลกลุ่มฝึกในสภาวะปริมาณออกซิเจนต่ำมีค่าเฉลี่ยของน้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย ไขมันของร่างกาย อัตราการเต้นหัวใจขณะพัก ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มฝึกในสภาวะปริมาณออกซิเจนปกติ และสนับสนุนการศึกษาโดยปิยะวัฒน์ ลือโสภา (2561) ที่ศึกษาผลของการฝึกเสริมด้วยความเร็วอดทนที่มีต่อสมรรถภาพด้านแอโรบิกและแอนแอโรบิกและความสามารถในการวิ่งด้วยความเร็วซ้ำๆ ของนักกีฬาฟุตบอลชายระดับมหาวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักฟุตบอลชายของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จำนวน 32 คน อายุระหว่าง 18-22ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละ16 คนเท่ากัน ด้วยวิธีการจับคู่ (Matched pair) โดยใช้สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด (Maximal oxygen uptake,VO2max) จากการทดสอบ Yo-Yo Intermittent Recovery Level 1 (Yo-YoIR1) เป็นเกณฑ์ โดยกลุ่มทดลองทำการฝึกเสริมด้วยโปรแกรมฝึกความเร็วอดทน (Speed endurance training, SET) วันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 วัน เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ร่วมกับการฝึกซ้อมตามปกติ ขณะที่กลุ่มควบคุมท้าการฝึกซ้อมฟุตบอลตามปกติเพียงอย่างเดียว ก่อนและหลังการฝึก6 สัปดาห์ ท้าการทดสอบสมรรถภาพด้านแอโรบิกด้วยโปรแกรม Yo-YoIR1 ความสามารถในการวิ่งด้วยความเร็วสูงซ้ำๆด้วยแบบทดสอบ (Running Anaerobic Sprint Test, RAST) และวัดความเข้มข้นของแลคเตทในเลือด จากนั้นการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการฝึก กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีค่าเฉลี่ยของอายุ น้ำหนัก ส่วนสูงและสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด ไม่แตกต่างกันหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 6 พบว่า อัตราการใช้ออกซิเจนสูงสุด ความสามารถในการวิ่งสะสมระยะทางจากการทดสอบ Yo-YoIR1 พลังเฉลี่ย ความทนทานต่อการล้าและความสามารถในการวิ่งด้วยความเร็วสูงซ้ำ ๆ เพิ่มขึ้นจากก่อนการทดลอง นอกจากนี้การศึกษาของบุตรดี เนียมเกาะเพ็ชร (2563) ได้ทำการศึกษาปรียบเทียบผลของการใช้โปรแกรมฝึกแบบหนักสลับเบาที่มีต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิก ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง และเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมของนักฟุตบอลหญิง จำนวน 20 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มที่ฝึกซ้อมปกติ 10 คน และ กลุ่มที่ฝึกตามโปรแกรม 10 คน ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองของกลุ่มทดลอง ด้านพลังแบบแอนแอโรบิก เท่ากับ 424.00 วัตต์ความสามารถสูงสุดทางแอนแอโรบิก เท่ากับ 347.50 วัตต์และ ดัชนีความล้า เท่ากับ 4.14 วัตต์/วินาทีสูงกว่ากลุ่มควบคุม ด้านพลังแบบแอนแอโรบิก เท่ากับ 340.60 วัตต์ความสามารถสูงสุดทางแอนแอโรบิก เท่ากับ 273.50 วัตต์และ ดัชนีความล้า เท่ากับ 3.05 วัตต์/ วินาทีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากการทบทวนการศึกษาที่ผ่านมาจึงสามารถสรุปได้ว่าโปรแกรมการฝึกแบบหนักสลับเบาที่มีต่อสมรรถภาพในนักกีฬาประเภททีม ส่งผลดีต่อสมรรถภาพทางกายในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งในทางการกีฬา นักกีฬา รวมถึงผู้ฝึกสอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นโปรแกรมในการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของนักกีฬาให้สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามหลังจากฝึกตามโปรแกรมการฝึกแบบหนักสลับเบาย่อมส่งผลต่อระดับความล้า ความเจ็บปวดกล้ามเนื้อหลังการฝึก ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสมรรถภาพทางกายในภาพรวมของนักกีฬาให้ลดลงในวันต่อ ๆ ไป ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้านการส่งเสริมและการฟื้นฟูรูปแบบใหม่ที่มีคุณสมบัติในการช่วยเร่งเร้าการทำงานของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการรับรู้ประสานงานของใยประสาทยนต์ และลดการทำงานของเส้นใยประสาทรับรู้ความเจ็บปวดโดยช่วยปิดกั้นเส้นใยประสาทที่รับความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้นคือ การกระตุ้นโดยใช้เครื่องกระตุ้นสนามแม่เหล็ก หรือ repettitive Peripherl Magnetic Stimulation (rPMS) rPMS เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่มีคุณสมบัติการทำงานใช้รักษาอาการปวด โดยใช้พลังงานจากคลื่นแม่เหล็ก ที่สามารถกระตุ้นทะลุผ่านเสื้อผ้าลงไปถึงเนื้อเยื่อและกระดูกได้ลึกประมาณ 10 ซม. คลื่นจาก rPMS จะกระตุ้นที่เส้นประสาทโดยตรง ทำให้เกิดกระบวนการ Depolarization กระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณที่ปวดและช่วยกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตบริเวณกล้ามเนื้อดียิ่งขึ้น ไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะโดยรอบ รู้สึกผ่อนคลายในขณะรักษา (Beaulieu and Schneider, 2015) PMS สามารถบำบัดได้ทั้งอาการที่ปวดจากระบบเส้นประสาทและไม่ใช่เส้นประสาท เช่น กล้ามเนื้อ หรือกระดูก ในปี 1980 โดย Barker และคณะ ยอมรับว่าเป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยและการกระตุ้นเส้นประสาทบำบัดและกล้ามเนื้อ เนื่องจากสนามแม่เหล็กสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายและยังสามารถส่งผลต่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่อยู่ลึก การใช้งานทางคลินิกอย่างหนึ่งของ PMS คือผลการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยมีมีรายงานว่า PMS ส่งเสริมการเสริมสร้างกล้ามเนื้อในสัตว์และมนุษย์โดยไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด (Sanansilp et al., 2022) ในปี 2016 การศึกษษของ Stolting et al. พบว่า การกระตุ้นด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กช่วยส่งเสริมกระบวนการฟื้นตัวหลังการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อในหนูทดลอง อีกทั้งยังทำให้ขนาดของกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ผลการศึกษาโดยใช้ PMS ในมนุษย์ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน ต่อมา Yang et al. (2017) ทำการศึกษาผลของการกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ(NMMS) ในด้านความแข็งแรง พื้นที่หน้าตัดและความหนาของกล้ามเนื้อต้นขา (Quardriceps muscle) โดยใช้คลื่นความถี่ของ PMS ที่ 10 Hz ซึ่งเป็นระดับความเข้มสูงสุดที่ยอมรับได้ในขณะนั้น เป็นระยะเวลา 15 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 5 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า ค่าการหดตัวสูงสุดแบบ isometric และค่า peak tough เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังการใช้คลื่นแม่เหล็กกระตุ้น แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่หน้าตัดหรือความหนาตัวของกล้ามเนื้อ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า คลื่นแม่เหล็กสามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ และมีความปลอดภัย จากนั้นในปี 2021 Hirono et al. ได้ทำการทดลองผลแบบเฉียบพลันต่อระดับความหนาของกล้ามเนื้อโครงร่างที่ใช้การกระตุ้นจาก rPMS ร่วมหลังจากการออกกำลังกายที่ระดับความเข้มข้นต่ำ ผลการศึกษาพบว่าความหนาของกล้ามเนื้อ rectus femoris และกล้ามเนื้อส่วนหน้าขาหลังออกกำลังกายร่วมกับใช้ rPMS มีขนาดหนาและมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า rPMS หลังการออกกำลังกายทำให้เกิดการขยายตัวของกล้ามเนื้อผ่านทางการหดตัวของกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ การเปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน เช่น การขยายตัวของกล้ามเนื้อโครงร่างนั้นเกิดขึ้นทันทีหลังออกกำลังกาย และมีรายงานสนับสนุนอีกว่า rPMS มีบทบาทสำคัญในการในการลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อกระดูกได้ดีกว่าการพักปกติ (Hirono et al., 2020) ตามที่อธิบายไว้ข้างต้น rPMS มีคุณสมบัติในการสร้างกล้ามเนื้อโดยไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกายในระยะยาว เหมาะสำหรับการใช้งานทางคลินิก นอกจากนี้ยังมีการวิจัยของต่างประเทศที่ทำการศึกษาว่า PMS มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างความแข็งของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น กล้ามเนื้อท้อง (Rectus abdominis m.) (Kinney and Lozanova, 2019) กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor m.) (Kobayashi et al., 2021) และกลุ่มกล้ามเนื้อในการกระดกข้อมือขึ้น (Forearm extensor group m.) (Nito et al., 2021) ในอดีตมีการศึกษาเกี่ยวกับการฝึกตามโปรแกรมหนักสลับเบาร่วมกับการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อร่วมด้วย (Electrical stimulation; ES) ผลการศึกษาพบว่า ระดับสมรรถภาพทางกายของนักกีฬารวมถึงระดับความล้า ลดลงดีกว่ากลุ่มที่ฝึกตามรูปแบบโปรแกรมการฝึกหนักสลับเบาตามปกติและพักอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่นำรูปแบบการฝึกซ้อมแบบหนักสลับเบาร่วมกับการประยุกต์ใช้การกระตุ้นโดย rPMS ในนักกีฬา ยังมีการศึกษาที่น้อยมากและยังไม่มีการรายงานการศึกษาเกี่ยวกับหากใช้การฝึกซ้อมร่วมกับการกระตุ้นโดยใช้ rPMS จะส่งผลดีต่อสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาอย่างไร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสารชีวเคมีในเลือด เช่น IGF-1 ซึ่ง GF-I มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเซลล์และการเจริญเติบโตของร่างกายโดยการกระตุ้น การสังเคราะห์โปรตีน การแบ่งเซลล์ของกระดูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการออกกำลังกาย ที่มีการใช้สมรรถภาพทางกายเพิ่มมากขึ้น รวมถึงระดับของกรดแลคติคที่สามารถบ่งชี้ถึงระดับความล้าของกล้ามเนื้อในนักกีฬาได้ ต่างยังไม่มีหลักฐานบ่งขี้ชัดเกี่ยวกับผลของการฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกแบบหนักสลับเบาร่วมกับการใช้ rPMS เป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งเดียวของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ดำเนินงานร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดอุตรดิตถ์ (กกท.อุตรดิตถ์) ในการพัฒนางานด้านกีฬาเพื่อความเป็นเลิศของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความร่วมมือกับ กกท. จังหวัดมาโดยตลอด โดยมีบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่มีความรู้ความสามารถได้รับเลือกและแต่งตั้งให้เป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาและนักกายภาพบำบัดของจังหวัดเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกซ้อมและดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนักกีฬาอันเกิดจากการฝึกซ้อมและการแข่งขัน โดยมีนักกีฬาของจังหวัดที่อยู่ในการดูแลทั้งหมด 16 ชนิดกีฬา ซึ่งรวมถึงกีฬาประเภทฟุตบอล ฟุตซอลด้วย ดังนั้น การศึกษาในครั้งนี้นักวิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการใช้รูปแบบการฝึกแบบหนักสลับเบาร่วมกับการกระตุ้นกล้ามเนื้อโดยการกระตุ้นด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในนักกีฬาประเภททีมชายที่เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย โดยประโยชน์ของการศึกษาในครั้งนี้ หากผลการศึกษาได้ผลในเชิงบวก นักกีฬา ผู้ฝึกสอนกีฬา หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านกีฬา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับโปรแกรมการฝึกซ้อมปกติของนักกีฬาโดยมีการบูรณาการงานให้นักเวชศาสตร์การกีฬาหรือนักกายภาพบำบัดทางการกีฬาเข้ามามีบทบาทในการเสริมสร้างความเป็นเลิศของนักกีฬาเพื่อเพิ่มโอกาสมุ่งสู่ชัยชนะในกีฬาประเภททีมทั้งในระดับชาติหรือนานาชาติได้
การฝึกที่ความเข้มข้นสูงแบบหนักสลับเบา,คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า,สมรรถภาพทางกายทางการกีฬา,นักกีฬาชายประเภททีม